UNHCR แด่มนุษยธรรมจากใจที่ให้กับเพื่อนร่วมโลก
จบจากงาน ที่ทาง JR WEST เชิญไปเยือนทตโทริ และโอกายาม่า ด้วยโคนันพาส กลับมาผมก็ต่อเลยด้วยการรับปากทางแสนสิริ และ UNHCR สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ไปเยี่ยมชมพื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านถ้ำหิน เพื่อสัมผัสเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่นมาถ่ายทอดให้กับโลกภายนอกฟัง
ส่วนตัวผมได้รู้จักกับพื้นที่พักพิงชั่วคราวตั้งแต่สมัยเด็ก ราวปี 2518 เพราะเพื่อนคุณยายที่รักกันเหมือนญาติ ต้องอพยพหนีภัยมาจากลาว ก็ต้องตั้งหลักก่อนเดินทางไปประเทศที่สาม โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวแบบนี้เช่นกันที่จังหวัดหนองคาย ปัจจุบันเขาได้อาศัยอยู่ในฝรั่งเศสเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่นทั้งครอบครัว นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับงานของหน่วยงานนี้มาตั้งแต่ยุคต้น ๆ
สารภาพตามตรง ผมไม่เคยรู้ว่า UNHCR Thailand ยังดำเนินงานอยู่ในประเทศไทย จนวันนี้ถึงเพิ่งรู้ว่า หน่วยงานนี้ยังดำเนินการอยู่ในประเทศไทย แต่เป็นอีกภารกิจที่ยืดเยื้อกว่า 30 ปีแล้วตั้งแต่ปี 1997 จากอีกฝั่งชายแดนที่ยืดเยื้อรอวันสงบ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น และสังคมยังไม่ได้รับรู้แพร่หลายมาก และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมตอบรับงานนี้แบบไม่ได้คิดถึงค่าตัว ผมอยากรู้อยากเห็น การมีอยู่ และเขาทำอะไรบ้างในปัจจุบัน ก่อนที่จะถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมด เราต้องเห็นความจริงก่อน
แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมก้าวเข้าไปเยี่ยมชมค่ายอพยพ แต่สิ่งนึงที่แตกต่างกับหน่วยงาน NGO หลายแห่งที่เข้าไปดูแลเรื่องสวัสดิการและสวัสดิภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ก็คือ UNHCR มีทางออกชีวิตให้กับผู้ลี้ภัย เพราะ United Nations High Commissioner for Refugees เป็นประตูสู่ประเทศที่สาม เป็นช่องทางช่วยเหลือให้พวกเขามีโอกาสเริ่มต้นตั้งหลักชีวิตใหม่ในประเทศที่อ้าแขนรับ
ภารกิจของ United Nations High Commissioner for Refugees มักจะอยู่ในประเทศที่ยังคงมีสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ปกติและประเทศใกล้เคียง เช่น เลบานอน ซูดาน ชาด อิรัก อัฟกานิสถาน และ เคนยา ฯลฯ รวมถึงประเทศไทย นอกจากนั้น UNHCR ยังมีภารกิจครอบคลุมถึงผู้ที่หนีภัยจากการประหัตประหาร และผู้ที่พลัดถิ่นอันเนื่องมาจากภัยพิบัติด้วย ปัจจุบัน United Nations High Commissioner for Refugees มีสำนักงานระดับภูมิภาคในประเทศไทย ที่อาคารสำนักงานสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก และมีผู้แทนระดับภูมิภาคประจำประเทศไทยคือ นส. รูเวนดรินี่ เมนิคดิเวล่
UNHCR จัดการดำเนินงานทั่วโลกกว่า 123 ประเทศทั่วโลก โดยสมัชชาแห่งสหประชาชาติ ตั้งแต่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2493 และเข้ามาในประเทศไทยโดยการเชิญของรัฐบาลไทยตั้งแต่สมัยสงครามอินโดจีน ปี 2518 เป็นหน่วยงานเดียวของโลกที่ดูแลผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะ ช่วยให้ผู้ลี้ภัยกว่า 50 ล้านคนได้ตั้งหลักชีวิตใหม่
สำหรับในประเทศไทยสำหรับผู้ลี้ภัย เขาคือคนที่สิ้นหวัง สิ้นแผ่นดินอาศัย ไร้บ้านเกิด หมดหนทางกลับไปแผ่นดินแม่ มีทางเลือก 2 ทาง คือ ก้าวต่อไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในประเทศที่สามที่เปิดรับให้เขาไปอยู่อาศัย เริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือยอมรอเป็นผู้ลี้ภัยตกค้างในพื้นที่ที่จัดไว้ รับการสนับสนุนพื้นฐานพอให้ยังชีพได้แล้วรอคอยด้วยความหวังว่าสักวันในวันที่สงครามสงบ การเข่นฆ่ายุติ จะได้กลับแผ่นดินเกิด จะมีที่อยู่ให้ได้กลับไปใช้ชีวิต ได้กลับไปตายในแผ่นดินแม่
ค่ายที่เราไปเยี่ยมคือ พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ หน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ และกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 137 การเข้าออกเข้มงวด และต้องได้รับการอนุญาตก่อน คนที่จะเข้าจะต้องส่งชื่อ ข้อมูลให้กระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่จะเข้าออกในพื้นที่ผู้ลี้ภัย
พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านถ้ำหิน เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ประมาณ 40 ไร่ ที่รองรับให้ที่พักพิงผู้ลี้ภัยระหว่างช่วงเวลาสงครามมาจนถึงปัจจุบันมากกว่าหมื่นสีพันคน ปัจจุบัน UNHCR ได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 8 พันคน ยังคงเหลือตกค้างอยู่อีกราว 6 พันคน ในจำนวนนี้มีเด็ก ๆ ถึงพันห้าร้อยคน
วันที่เข้าไป เราได้ไปสัมผัสชีวิตผู้ลี้ภัยที่อาศัยในพื้นที่ 3 ครอบครัวครับ ครอบครัวแรกเป็นเด็กผู้หญิงชื่อมูอา เป็นโปลิโอตั้งแต่เด็ก ขาทั้งสองข้างใช้ไม่ได้ วันที่ทั้งครอบครัวพบว่าตัวเองอยู่แผ่นดินแม่ไม่ได้ต้องหนีตาย คุณแม่ต้องแบกมูอาพาหนีเข้ามาในพรมแดนไทยในวัย 10 กว่าปีจนข้ามแดนมาถึงฝั่งไทย มูอาโตมาในพื้นที่พักพิงชั่วคราวตั้งแต่เด็ก ทาง UNHCR เข้าไปดูแลครอบครัวนี้ จนพี่ชายได้ลี้ภัยไปอยู่ที่อเมริกา รวมทั้งมีอาด้วย แต่ตอนนั้นมีอาเลือกที่จะไม่ไปเพราะเป็นห่วงแม่ ยอมอยู่ต่อเพื่อดูแลแม่ที่ไม่ยอมไปไหน เฝ้าคอยรอวันที่จะได้กลับไปแผ่นดินที่ตัวเองเคยอยู่ น้องดูแลแม่จนถึงวันที่สิ้นลม และวันนี้น้องไม่มีใครที่รู้จักอยู่ที่นี่แล้ว ทาง UNHCR จึงเข้าไปดูแลเพื่อดำเนินการให้น้องได้ไปใช้ชีวิตใหม่ที่ประเทศที่สาม
อีกครอบครัวเป็นคุณยาย คุณยายหอบลูกตัวเองหนีตายมาจนถึงเมืองไทย ได้สถานะผู้ลี้ภัยนานแล้ว ลูกสาวก็ได้ลี้ภัยไปประเทศที่สามเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่คุณยายเลือกที่จะอยู่รอสักวันที่จะได้กลับบ้าน และเป็นห่วงหลานคนสุดท้ายที่กำลังโตเพราะกลัวว่าถ้าตัวเองไม่อยู่แล้ว หลานจะไม่มีใครอีกแล้ว ปัจจุบันคุณยายเป็นอัมพาต ขยับตัวไปไหนไม่ได้ ทั้งยาย และหลานยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ของพวกเขาต่อไป
ครอบครัวที่สาม เป็นอีกครอบครัวที่ทาง UNHCR เข้าไปดูแล เป็นแม่ลูก คุณแม่อพยพมาตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิง จนมีครอบครัว มีลูกสาวตัวเล็ก ๆ ป่วยต้องได้รับการรักษา แต่มีข้อจำกัดมากมายในการรักษา ความหวังของครอบครัวนี้ คือ การตั้งถิ่นฐานใหม่ ไปเพื่อเพิ่มโอกาสรักษาตัวให้กับลูก
นอกจากสามครอบครัวนี้ ทาง UNHCR ยังมีงานอีกมากมาย และมีผู้คนจำนวนมากในนี้ที่กำลังรอการดำเนินการช่วยเหลือ ค่ายผู้ลี้ภัยนี้เป็น 1 ใน 9 ค่าย 4 จังหวัด ในประเทศไทย ที่นี่เดิมมีอยู่หมื่นสี่พันคน ได้รับความช่วยเหลือไปแล้วแปดพันคน ยังเหลือผู้ตกค้างอีกหกพันกว่าคน
ปัจจุบันทาง UNHCR ยังมีผู้ลี้ภัยที่ต้องเข้าไปดูแลหลงเหลืออีกแสนหกพันคน ให้ความช่วยเหลืออบรมทักษะ ทั้งเด็ก ผู้หญิงและผู้พิการ นอกจากนี้ ยังได้ช่วยให้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไปแล้วราวแสนคน และยังต้องใช้เวลากำลังคนและกำลังทรัพย์อีกมากสำหรับการดำเนินการเพื่อมนุษยธรรม ช่วยเหลือคนที่พลัดถิ่น สิ้นบ้าน หมดที่อาศัยอย่างมีสวัสดิภาพในแผ่นดินเกิด
มนุษยธรรมในจิตใจของเรา ไม่ได้แบ่งชาติ อายุ เผ่าพันธ์ ศาสนา มันคือการช่วยเหลือหยิบยื่นโอกาสของชีวิตให้แก่กันด้วยน้ำใจ เท่าที่กำลังเราจะให้ได้ในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์คนนึง
การที่ถ้าหากเราเห็นคนลำบาก คนที่หมดสิ้นโอกาสของชีวิตทุกอย่างทั้งบ้าน และช่วยสนับสนุนต่อเติมโอกาสของชีวิต เพื่อให้เขาได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ เป็นสิ่งนึงที่ล้ำค่าสำหรับชีวิตต่อชีวิตอย่างยิ่ง
ประเทศไทยโชคดีที่เราไม่มีสงครามกลางเมือง ไม่มีสงครามใหญ่ ๆ เราจึงไม่ต้องเจอกับสภาวะสิ้นหวังเช่นนี้ ถ้าหลับตานึกถึงว่าถ้าเป็นเราที่ไม่มีแผ่นดินแม่ให้อาศัย ความช่วยเหลือที่หยิบยื่นจะมีค่าแค่ไหน นั่นแหละคุณคงเข้าใจคำว่ามนุษยธรรม
ใครที่มีโอกาสชีวิตมาก มีทุนทรัพย์พอที่จะหยิบยื่นมนุษยธรรมให้กับเพื่อนร่วมโลก เชิญนะครับ
http://goo.gl/FxtOSM
www.unhcr.or.th