เทศกาล ถึอศีล กินเจ
+ + + หลากหลายตำนานของการกินเจ + + +
ผู้เขียนศึกษาเรื่องจีนมาประมาณ 20 ปี พบตำนานที่เกี่ยวกับที่มาของการกินเจ
สรุปได้เป็นที่มาดังนี้คือ
1. ทำไมพระจีนจึงฉันเจ
2. การกินเจเพื่อบูชาเทพเจ้า 9 องค์
3. การกินเจเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ฮ่องเต้น้อย
4. การกินเจของชาววิทยายุทธ์
5. การกินเจของคนจีนแต้จิ๋วโบราณ ซึ่งมีบันทึกเรื่องการกินหอยด้วย
(เป็นความรู้ล่าสุดจากหนังสือธรรมเนียมชาวซัวเถา ฉบับภาษาจีน)
6. การกินเจเพื่อชำระใจก่อนเข้าพิธีศักดิ์สิทธิ์
7. การกินเจเพื่อสุขภาพ
8. การกินเจด้วยหลักศีล 6
+ + + ทำไมพระจีนจึงกินเจ + + +
นั่นสินะ…ทำไมพระจีนจึงฉันเจ แถมฉันเจแบบตลอดชีวิตด้วย ในขณะที่พระไทย
ไม่ต้องฉันอาหารเจ แม้จะเป็นพระในพระพุทธศาสนาเหมือนกัน เกร็ดความรู้เรื่องของการฉันเจ
ของพระจีน ผู้เขียนอ่านพบมากว่า 10 ปี จากหนังสือความรู้เรื่องอาหารจีนท้องที่ต่าง ๆ
มีการเล่าถึงว่า การฉันเจของพระจีนเริ่มที่มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นดินแดนราบลุ่มอันอุดม
มีแม่น้ำ 4 สายไหลผ่าน ทำให้ทำการเพาะปลูกได้ดี แต่อาชีพเกษตรกรในเอเชียนั้น
ที่ไหนก็เหมือนกัน คือ ยากจน แล้วก็เช่นกันว่า คนจนมักชอบทำบุญ
เกษตรกรเสฉวนชอบทำบุญมาก มีการฆ่าสัตว์ทั้งหมู เป็ด ไก่ วัว ควาย และแพะ
มาทำอาหารถวายพระ ด้วยหวังว่าจะได้บุญมาก ๆ พระจีนท่านรู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงออกอุบายว่า
คนบวชเป็นพระต้องฉันเจเพื่อละเว้นการเบียดเบียนชีวิตอื่น ๆ จึงขอให้ญาติโยมทำแต่อาหารเจ
มาถวายท่าน แล้วเก็บเนื้อสัตว์ไว้ทำอาหารกินกันเอง จะได้พลังงานเต็มที่ ร่างกายมีกำลังวังชา
เพื่อการทำไรทำนา
+ + + การกินเจเพื่อบูชาเทพเจ้า 9 องค์ + + +
ตำนานนี้เป็นเกร็ดความรู้จากทางพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ซึ่งมีคติว่า
พระพุทธเจ้าก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี มีอยู่มากมายดั่งหนึ่งเม็ดทรายในมหาคงคา
การกินเจเพื่อบูชาเทพเจ้า 9 องค์ หรือเก้าอ๊วงฮุดโจ้ว ในช่วงเดือน 9 ก็ด้วยความเชื่อว่า
ช่วงระหว่างวันที่ 1 – 9 เดือน 9 ของจีนนั้น เก้าอ๊วงฮุดโจ้วจะเสด็จลงมาโปรดสัตว์ในโลก
โดยทีมเทพเจ้า 9 องค์ในเบื้องลึก คือ พระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับ พระโพธิสัตว์อีก
2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ แบ่งภาคมาเป็นเทพเจ้า 9 องค์ ทรงเครื่องแบบกษัตริย์
จึงเรียกท่านว่า เก้าอ๊วง หรือ กิ๊วอ๊วง แปลตรงตัวว่า 9 เทพเจ้า หรือจะเรียกให้หรูขึ้นว่า นพราชา
ก็ไม่ผิดอะไร เทพเจ้าทั้ง 9 นี้ ทรงอำนาจในการบริหารธาตุทั้งห้า ในความเชื่อของคนจีน คือ
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และธาตุทอง (ตรงนี้ตำราใช้ธาตุลมแทนธาตุไม้)
เพราะคนเรานั้น ถ้าไม่มีลมอากาศ ก็ตายแน่นอน
สัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่มีน้ำเป็นที่อาศัย ก็อยู่ไม่ได้
ต้นไม้ทั้งมวล ถ้าหมดดิน ย่อมอับเฉาเหี่ยวตาย
สัตว์โลกทั้งปวง ถ้าไม่มีไฟ ก็ไม่มีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน
อีกทั้งเศรษฐกิจการค้า ถ้าไม่มีทองที่ใช้เป็นเบื้องหลัง ค่าของเงินตรา ไม่มีโลหะนานา
ให้นำมาใช้ผลิตเครื่องใช้ต่าง ๆ ระบบการค้าจะดำเนินไปไม่ได้เลย
จากนั้น 9 เทพเจ้า ก็ได้แบ่งภาคพระองค์เองอีกที ไปเป็นดาวพระเคราะห์ 9 ดวง
เพื่อการบริหารธาตุทั้งห้า ที่ไม่เพียงเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ แต่ในทาง
โหราศาสตร์จีน ธาตุทั้งห้าก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของจักรราศีแห่งดวงชะตา
ดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 ดวงนี้คือ
1. ดาวพระอาทิตย์ จีนแต้จิ๋วเรียกว่า ไท้เอี๊ยงแช (แช แปลว่า ดวงดาว)
2. ดาวพระจันทร์ หรือ ไท้อิมแช
3. ดาวพระอังคาร หรือ ฮ่วยแช
4. ดาวพระพุธ หรือ จุ้ยแช
5. ดาวพระพฤหัสบดี หรือ บั๊กแช
6. ดาวพระศุกร์ หรือ กิมแช
7. ดาวพระเสาร์ หรือ โท้วแช
8. ดาวพระราหู หรือ ล้อเกาแช
9. ดาวพระเกตุ หรือ โกยโต้วแช
ดาวนพเคราะห์เหล่านี้ คือ กำเนิดหนึ่งแห่งจักรราศีในทางโหราศาสตร์จีน เช่นเดียวกับ
ที่การหมุนหรือเคลื่อนตัวของแต่ละดวงดาวจะมีผลต่อโลก เช่น การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ดังที่เรา
เคยเรียนในสมัยเด็ก ๆ หากวันใดดาวเคราะห์ดวงใดหยุดหมุน หรือเทพเจ้าประจำดวงดาวหยุด
ทำงาน โลกคงเกิดโลกาวินาศ
โดยทุกปีเมื่อถึงวันที่ 1 – 9 เดือน 9 ของจีน จะเป็นกำหนดวันที่เทพเจ้าประจำดาวข
นพเคราะห์แต่ละองค์จะผลัดกันลงมาเยือนโลกมนุษย์ เพื่อประทานพรแด่ผู้ประพฤติดี
โดยจะผลัดกันองค์ละวัน แต่ในทางปฏิบัติที่ผู้เขียนเห็นคือ เรานิยมไหว้รวมทั้ง 9 องค์ทุกวัน
เมื่อถึงเทศกาลนี้จึงมีการกราบไหว้และถือศีลกินเจ เพื่อเป็นเครื่องสักการะบูชา
เพื่อขอพรจากท่านโดยผู้เฒ่าผู้แก่มักเชื่อว่า การที่ท่านเสด็จมาอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้จะศักดิ์สิทธิ์
และจะเป็นการขอบคุณที่ทรงมีคุณแก่โลกที่ทรงไว้ซึ่งธาตุทั้งห้าและจักรราศีแห่งดวงดาว
+ + + การกินเจเพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายแด่ฮ่องเต้น้อย + + +
ตำนานนี้เล่าถึงว่า ช่วงปลายราชวงศ์ซ่ง ประมาณ พ.ศ. 1819 กุบไลข่านได้ยกกองทัพ
มองโกลเข้าตีเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งใต้ แล้วจับตัวฮ่องเต้ ซึ่งยังทรงพระเยาว์มากไปถึง
ปักกิ่ง ส่วนพระอนุชาฮ่องเต้หนีไปได้ โดยทางราชวงศ์ซ่งได้รวบรวมข้อมูลผู้คนตั้งหลัก
บนเกาะเล็ก ๆ นอกฝั่งมณฑลกวางตุ้ง และได้แต่งตั้งพระอนุชาที่พระชนม์มายุเพียง
8 พรรษา เป็นฮ่องเต้ทรงพระนามว่า ซ่งตวงจง ฮ่องเต้ เมื่อ พ.ศ. 1822
แล้วทัพของมองโกลก็ยกตามมาตี ก็หนีกันไปถึงฝั่งเกาลูน อยู่ได้ไม่นานทัพมองโกล
ก็ตามมาตีต่อ ราชวงศ์ซ่งสู้ไม่ได้ หัวหน้าขุนนางอุ้มฮ่องเต้น้อยไว้บ่นบ่า อีกมือถือดาบพร้อมสู้
ที่สุดไปจนมุรบนหน้าผา ขุนนางตัดสินใจโดดหน้าผาหนีการถูกฆ่าโดยศัตรูสิ้นชีวิตทั้งคู่ คือ
ขุนนาง และ ฮ่องเต้
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ทำให้เกิดเทพเจ้าที่คนจีนพากันบูชาหลายองค์ องค์หนึ่ง คือ
ฮ่องเต้น้อย ชาวประมงค์พื้นบ้าน และชาวเรือนนับถือไหว้ท่านว่าเจ้าเด็กท้ำกง ส่วนขุนนาง
ผู้จงรักภักดีมี 3 ท่าน คนจีนยกย่องกราบไหว้เป็นซาตงกง แปลตรงตัวว่า 3 เจ้าพระยาผู้ภักดี
ด้วยความเชื่อว่า การไหว้คนที่เสียชีวิต เพราะคุณความดี จะมีสิริมงคลแก่ผู้กราบไหว้นั้นแล
ครั้งถึงเดือน 9 ชาวฮกเกี้ยน และ ชาวแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นคนในท้องที่ซึ่งช่วยราชวงศ์ซ่ง
สู้รบมองโกล บางตำราเชื่อว่า พอถึงเดือน 9 ก็พากันกินเจเพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายฮ่องเต้น้อย
ซึ่งสิ้นพระชนมายุเพียง 9 พรรษา
+ + + การกินเจของชาววิทยายุทธ์ + + +
หลายท่านอาจสงสัย ทำไมประเพณีกินเจของบางท้องที่จึงมีรายการน่าหวาดเสียว
เช่น เดินลุยไฟ มีการใช้เหล็กแหลมแทงทะลุแก้ม ลิ้น ตรงนี้น่าจะเป็นความเชื่อจากคนจีน-
โบราณบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีวิชาต่อสู้ที่เรียกกันว่า จอมยุทธ์ หรือ ชาววิทยายุทธ์ ซึ่งก็มี
มากมายหลายแบบของการต่อสู้ เป็นพวกที่เก่งหมัดมวย พวกที่เก่งเพลงดาบ
พวกหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก คือ พวกหงี่หั่วท้วง ซึ่งหนังสือประวัติศาสตร์จีนบางเล่ม
เรียกว่า นิกายกินเจ และสันนิษฐานว่าเป็นสาขาของสมาคมลับบัวขาว หรือลัทธิบัวขาว
เรียกว่า แป๊ะเน้ยก่า ซึ่งดั้งเดิมจะมีบทบาทสูงในการต่อต้านการปกครองของแมนจู
แต่ต่อมาสมัยที่ฝรั่งเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในจีนมากมาย พวกหงี่หั่วท้วงที่รักชาติรุนแรง
ก็จะต่อต้าน และสังหารฝรั่งเสมอ จึงถูกพระนางซูสีไทเฮา ส่งคนไปชักชวนให้ตอบโต้
ชาวตะวันตกอย่างรุนแรง จึงถูกกองทัพฝรั่ง 8 ชาติปราบรุนแรง โดยหนังสือประวัติศาสตร์
บางเล่มจะมีเอ่ยถึงว่า ราชสำนักแมนจูก็ร่วมผสมโรงปราบพวกหงี่หั่วท้วงด้วย
พวกหงี่หั่วท้วงที่มักมีการกินเจ เพื่อเข้าพิธีให้อยู่ยงคงกระพันและเหนียว จนมี
ชื่อเสียงในทางคงกระพันชาตรี มาเจอปืนฝรั่งเข้าก็ตายสนิท เป็นการแพ้ที่ลูกหลานจีน
บางท้องที่รู้สึกสำนึกในการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง ก็กินเจระลึกให้
อย่างไรก็ตาม สำหรับการกินเจทางใต้ เช่น ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เจ้าแม่จะมี
ประวัติเป็นสตรีที่มีวิทยายุทธ์และผู้เขียนเคยคุยกับชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกศิษย์เจ้าแม่ว่า
ทุกปีจะกินเจเพื่อลุยไฟให้เป็นสิริมงคลแก่ตน ซึ่งเป็นความเชื่อของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ต้องถือว่า
มีจริงในสังคม
+ + + ตำนานการกินเจของคนจีนแต้จิ๋วโบราณ จากท้องที่ซัวเถา + + +
เรื่องนี้อาจเป็นเกร็ดความรู้ใหม่ของลูกหลานจีนในไทย เพราะเนื้อหาที่ผู้เขียนพบ
ยังไม่เคยอ่านพบจากที่ไหน โดยผู้เขียนอ่านจากตำราภาษาจีนที่พึ่งได้มาไม่นาน
ชื่อหนังสือว่า เตี้ยซัวมิ้งซกไต้กวง แปลง่าย ๆ อย่างสามารถเข้าใจได้ด้วย คือ ธรรมเนียม
แต้จิ๋วซัวเถา (เตี้ย เป็นคำจีนที่คนไทยจะคุ้นแล้วกับนามแต้จิ๋ว เช่นเดียวกับคำว่า ซัวนี้ คือ
ซัวเถา)
หนังสือเล่มนี้รวบรวมธรรมเนียบโบราณของชาวจีนแต้จิ๋วกว่า 300 ธรรมเนียม
โดยธรรมเนียมที่ชื่อว่า เจี๊ยะเก้าอ๊วงเจ แปลตรงตัวคือ กินเจเจ้า 9 องค์ เนื้อหาที่เขียนอาจ
สรุปได้ดังนี้
การกินเจเดือน 9 ของจีน ปรับมาจากการที่คณะงิ้วแต้จิ๋วโบราณ ไหว้บวงสรวงเจ้า
ด้วยการกินเจเจ้า 9 พระองค์
โดยทุกปีเมื่อถึงวันขึ้นเดือน 9 ของจีน ชาวคณะงิ้วพร้อมเด็กฝึกงิ้วรุ่นใหม่จำนวนมาก
พากันนุ่งขาว งดกินเนื้อสัตว์ ผักกลิ่นฉุน แต่จะมีการกินเนื้อหอยตัวเล็กตัวน้อย (ภาษาจีน
ในตำราใช้คำว่า เจี๊ยะป๋วย ซึ่ง ป๋วยคำนี้ จีนกลางออกเสียงว่า เป้ย เป็นหอยตัวเล็ก ๆ)
ทำใจให้สะอาด ไม่พูดคำหยาบ ไม่ว่าร้ายริษยาอาฆาตใคร แล้วไปกราบไหว้บูชาพร้อม
ขอขมา ถ้ามีการล่วงเกินเจ้าโดยไปไหว้ที่ศาลเจ้าที่มีองค์ปฏิมาของเทพเจ้า 9 องค์
ชาวเมืองแต้จิ๋วที่มีบ้านใกล้กับศาลเทพเจ้างิ้วไล้ฮึงกง ก็จะพากันจัดของไหว้ไปไหว้
รวมทั้งไหว้เทพเจ้า 9 องค์ กับเทพเจ้าเต๋าบ้อ (เต๋าเล่าเทียงจุง) โดยเป็นการไหว้ครั้งใหญ่
มีเครื่องใช้ของบูชาพิเศษเป็นภาชนะใส่ข้าวสารปักไม้ยาว 9 อัน เหนือไม้ทั้งเก้ามีตาข่าย
และห่วงหยก 9 อัน แขวนไว้ด้วยโคมไฟน้ำมันจุดสว่างตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน
เผาธูปหอมตลอดเวลา บูชาด้วยดอกไม้ ผลไม้ มีแสดงงิ้วถวายเป็นที่ครึกครื้นที่หน้าแทนบูชา
เทพเจ้างิ้วไล้ฮึงกง
มีคำเรียกพิธีบูชาโบราณนี้ว่า เก้าอ๊วงหวย หรือ ชุมนุม 9 เทพเจ้า
ต่อมาสมัยราชวงศ์เช็ง มีความนิยมกินผักมากขึ้นหลังจากงานฉลองเมืองหลวง
เมื่อถึงสิ้นเดือน 8 ของจีน ก็เริ่มถือศีลกินเจ จนถึงวันที่ 9 เดือน 9 ของจีน ตามศาลเจ้าต่าง ๆ
มีการตั้งเครื่องบูชาไหว้เต๋าบ้อ และเทพเจ้า 9 องค์ พร้อมมีมหรสพแสดงงิ้วถวาย จุดประทีป
โคมไฟสวยงาม ด้วยความเชื่อว่า ไหว้เต๋าบ้อ เพื่อให้อายุยืนยา ไหว้เทพเจ้า 9 องค์ เพื่อให้โชคดี
+ + + การกินเจเพื่อชำระใจก่อนเข้าพิธีศักดิ์สิทธิ์ + + +
นอกจากกินเจของชาววิทยายุทธ์ก่อนเข้าพิธี เพื่อให้อยู่ยงคงกระพันแล้ว ยังมีบุคคล
อีก 2 ประเภท ที่นิยมกินเจก่อนทำพิธีศักดิ์สิทธิ์
หนึ่งนั้นคือ ฮ่องเต้ ที่จากบันทึกของพระราชวังปักกิ่งจะมีเล่าถึง การที่ฮ่องเต้ต้องเสด็จ
ไปถือศีลกินเจที่วัด 1 วัน ก่อนวันไหว้เหมายัน ซึ่งเป็นวันหนึ่งที่พระอาทิตย์โคจรห่างโลกมาก
ที่สุด ทำให้เป็นวันที่ยาวที่สุด จะตกประมาณวันที่ 21 – 23 ธันวาคม ฮ่องเต้จะทำพิธีไหว้
“เจ้าสวรรค์” ในฐานะที่ทรงเป็นโอรสสวรรค์
ส่วนบุคคลอีกประเภท คือ ซินแส หรือผู้ใหญ่ที่จะทำพิธีเขียนฮู้ หรือ ยันต์มงคล นิยม
กินเจชำระกายให้ผ่องแผ้วก่อนเขียนยันต์ใด ๆ
+ + + การกินเจเพื่อสุขภาพ + + +
การกินเจในแง่มุมของสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง โดยอาศัยหลักธรรม 2 ประการ
คือ 1. กินอย่างไรไม่เป็นโทษทุกข์ต่อผู้อื่น 2. กินอย่างไรไม่เป็นโทษทุกข์ต่อตัวเอง
ซึ่งกินอย่างไม่เป็นโทษทุกข์หรือเป็นภัยต่อผู้อื่นคงไม่ต้องอธิบาย แต่การกินอย่าง
ไม่เป็นโทษทุกข์หรือเป็นภัยต่อตัวเอง คือ การกินอาหารที่ไม่ไปทำลายสุขภาพร่างกายของตน
ลโดยบางวิทยาการของจีนโบราณ มีความเชื่อว่า เลือด และเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย
มีพิษร้ายแฝงอยู่ เพราะก่อนสัตว์ถูกฆ่า ความกลัวทำให้มันหลั่งสารพิษที่แพร่กระจายไปทั่ว
ร่างกาย ซึ่งความเชื่อนี้สอดคล้องกับศาสนาอิสลามที่ไม่กินหมู
โดยที่การกินเจจะไม่กินผักที่มีกลิ่นฉุน อันได้แก่ กระเทียม หัวหอม กุยช่าย หลักเกียว
(คล้ายกระเทียมแต่เล็กกว่า) และใบยาสูบ เพราะผักเหล่านี้มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง คนจีนเชื่อว่า
มีสารที่ทำลายพลังธาตุทั้งห้าในร่างกาย อันอาจทำให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้งห้าทำงาน
ไม่เป็นปกติ ดังนี้
กระเทียม – ทำลายธาตุไฟในร่างกาย ทำให้หัวใจทำงานไม่เป็นปรกติ
หัวหอม – ทำลายธาตุน้ำในร่างกาย ทำให้ไตทำงานไม่เป็นปรกติ
กุยช่าย – ทำลายธาตุไม้ในร่างกาย ทำให้ตับทำงานไม่เป็นปรกติ
หลักเกียว – ทำลายธาตุดินในร่างกาย ทำให้ม้ามทำงานไม่เป็นปรกติ
ใบยาสูบ – ทำลายธาตุโลหะในร่างกาย ทำให้ปอดทำงานไม่เป็นปรกติ
ในบรรดาผักฉุนนี้ กระเทียมถือว่าเป็นยา เมื่อป่วยและร่างกายต้องการก็กินได้
และนี่คือ ที่มาแห่งความแตกต่างระหว่างเจกับมังสวิรัติว่า มังสวิรัตินั้นไม่กินเนื้อสัตว์
แต่กินไข่กับผักทุกชนิดได้
ส่วนการกินเจนั้น ไม่กินเนื้อสัตว์ใด ๆ ไม่กินไข่ และไม่กินผักกลิ่นฉุน 5 ชนิดข้างต้น
และต้องถือศีลด้วย จึงจะครบถ้วนบริบูรณ์
+ + + การกินเจด้วยหลักศีล 6 + + +
คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับคำ ว่า ศีล 5 และ ศีล 8 แต่คนจีนโบราณจะมีอีกศีลที่น่าสนใจเรียกว่า ศีล 6 คำจีนเรียกว่า ลักกึงเช็งเจ๋ง แปลว่า ทวารทั้ง 6 บริสุทธิ์ หมายความถึง
การถือศีลกินเจที่สงบจิตสงบใจ ไม่บริโภครสกิเลสทางทวารทั้ง 6 อันได้แก่ จักษุ โสต ฆาน
ชิวหา กาย และใจ
คนกินเจที่เคร่งถึงระดับทวารทั้งหกบริสุทธิ์ จึงนุ่งขาวห่มขาว ฟังแต่เสียงธรรม
ไม่ทานอาหารกลิ่นจัด คือ ผักกลิ่นฉุน ไม่ร่วมรสกาม และมีใจใฝ่ธรรม หรือแจกแจงให้
อ่านชัด ๆ คือ
ไม่บริโภคกิเลสทางตา คนกินเจจึงนุ่งชุดขาว
ไม่บริโภคกิเลสทางหู คนกินเจจึงฟังแต่ภาษาธรรม และเสียงสวดมนต์
ไม่บริโภคกิเลสทางจมูก คนกินเจจึงไม่กินอาหารที่เป็นผักกลิ่นฉุนและงดเครื่องหอม
ไม่บริโภคกิเลสทางปาก คือ กินแต่อาหารรสชาติสะอาด จืด ๆ
ไม่ใช่เผ็ดจี๊ดเปรี้ยวจัด อย่างส้มตำ ยำเจแบบไทย ๆ
ไม่บริโภคกิเลสทางกาย คือ การงดเพศสัมพันธ์
ไม่บริโภคกิลเลสทางใจ คือ ไม่คิดมิชอบ แต่ใจต้องใฝ่ธรรม
จากหนังสือ คู่มือกินเจอย่างรู้คุณค่า โดย จิตรา ก่อนันทเกียรติ
ปล.
แต่สำหรับผมแล้วไม่ได้ถืออะไรมากครับ
ศาสนาพุทธไม่มีข้อห้ามในการกินเนื้อสัตว์ ขออย่าเป็นเหตุเจาะจงให้เขาฆ่ามาเพื่อเป็นอาหารก็แล้วกัน
ชอบกินเจเพราะถือเป็นสักช่วงเวลาที่เราไม่เบียดเบียนชีวิตคนอื่น
ไม่เป็นเหตุให้เขาฆ่า(แม้ไม่เจาะจง) สักช่วงเวลาหนึ่งๆ
แม้ไม่นานนักแต่ถ้ารวมเวลาประมาณ 20 ปีกว่า คูณ 10 วัน
ก็ได้เกือบๆปีเหมือนกันนะ 220 วันเชียว
ที่สำคัญ ถือเป็นช่วงเวลาล้างพิษครับ งดเนื้อ งดอาหารทานแต่ผลไม้สักสองสามวัน
แล้วค่อยๆ กลับมาทานอาหารปกติก็เข้าที่ครับ