เทศกาล​ ​ถึอศีล​ ​กินเจ​

เทศกาล​ ​ถึอศีล​ ​กินเจ

+ + + ​หลากหลายตำ​นานของการกินเจ​ + + +

ผู้​เขียนศึกษา​เรื่องจีนมาประมาณ​ 20 ​ปี​ ​พบตำ​นานที่​เกี่ยว​กับ​ที่มาของการกินเจ
สรุป​ได้​เป็น​ที่มาดังนี้คือ

1. ​ทำ​ไมพระจีน​จึง​ฉันเจ
2. ​การกินเจเพื่อบูชา​เทพเจ้า​ 9 ​องค์
3. ​การกินเจเพื่ออุทิศ​ส่วน​กุศลแด่ฮ่องเต้น้อย
4. ​การกินเจของชาววิทยายุทธ์
5. ​การกินเจของคนจีนแต้จิ๋วโบราณ​ ​ซึ่ง​มีบันทึกเรื่องการกินหอย​ด้วย
(​เป็น​ความ​รู้ล่าสุด​จาก​หนังสือธรรมเนียมชาวซัวเถา​ ​ฉบับ​ภาษาจีน)
6. ​การกินเจเพื่อชำ​ระ​ใจก่อน​เข้า​พิธีศักดิ์สิทธิ์
7. ​การกินเจเพื่อสุขภาพ
8. ​การกินเจ​ด้วย​หลักศีล​ 6

+ + + ​ทำ​ไมพระจีน​จึง​กินเจ​ + + +

นั่นสินะ​…​ทำ​ไมพระจีน​จึง​ฉันเจ​ ​แถมฉันเจแบบตลอดชีวิต​ด้วย​ ​ใน​ขณะที่พระ​ไทย
ไม่​ต้อง​ฉันอาหารเจ​ ​แม้​จะ​เป็น​พระ​ใน​พระพุทธศาสนา​เหมือน​กัน​ ​เกร็ด​ความ​รู้​เรื่องของการฉันเจ
ของพระจีน​ ​ผู้​เขียนอ่านพบมากว่า​ 10 ​ปี​ ​จาก​หนังสือ​ความ​รู้​เรื่องอาหารจีนท้องที่ต่าง​ ๆ
มีการเล่า​ถึง​ว่า​ ​การฉันเจของพระจีนเริ่มที่มณฑลเสฉวน​ ​ซึ่ง​เป็น​ดินแดนราบลุ่มอันอุดม
มี​แม่น้ำ​ 4 ​สายไหลผ่าน​ ​ทำ​ให้​ทำ​การเพาะปลูก​ได้​ดี​ ​แต่อาชีพเกษตรกร​ใน​เอเชีย​นั้น
ที่​ไหนก็​เหมือน​กัน​ ​คือ​ ​ยากจน​ ​แล้ว​ก็​เช่น​กัน​ว่า​ ​คนจนมักชอบทำ​บุญ
เกษตรกรเสฉวนชอบทำ​บุญมาก​ ​มีการฆ่าสัตว์​ทั้ง​หมู​ ​เป็ด​ ​ไก่​ ​วัว​ ​ควาย​ ​และ​แพะ
มาทำ​อาหารถวายพระ​ ​ด้วย​หวังว่า​จะ​ได้​บุญมาก​ ​ๆ​ ​พระจีนท่านรู้สึกว่า​ไม่​ถูก​ต้อง​จึง​ออกอุบายว่า
คนบวช​เป็น​พระ​ต้อง​ฉันเจเพื่อละ​เว้นการเบียดเบียนชีวิต​อื่น​ ​ๆ​ ​จึง​ขอ​ให้​ญาติ​โยมทำ​แต่อาหารเจ
มาถวายท่าน​ ​แล้ว​เก็บเนื้อสัตว์​ไว้​ทำ​อาหารกิน​กัน​เอง​ ​จะ​ได้​พลังงานเต็มที่​ ​ร่างกายมีกำ​ลังวังชา
เพื่อการทำ​ไรทำ​นา

+ + + ​การกินเจเพื่อบูชา​เทพเจ้า​ 9 ​องค์​ + + +

ตำ​นานนี้​เป็น​เกร็ด​ความ​รู้​จาก​ทางพระพุทธศาสนา​ ​นิกายมหายาน​ ​ซึ่ง​มีคติว่า
พระพุทธเจ้าก็ดี​ ​พระ​โพธิสัตว์ก็ดี​ ​มี​อยู่​มากมายดั่งหนึ่งเม็ดทราย​ใน​มหาคงคา
การกินเจเพื่อบูชา​เทพเจ้า​ 9 ​องค์​ ​หรือ​เก้าอ๊วงฮุดโจ้ว​ ​ใน​ช่วงเดือน​ 9 ​ก็​ด้วย​ความ​เชื่อว่า
ช่วงระหว่างวันที่​ 1 – 9 ​เดือน​ 9 ​ของจีน​นั้น​ ​เก้าอ๊วงฮุดโจ้ว​จะ​เสด็จลงมา​โปรดสัตว์​ใน​โลก
โดย​ทีมเทพเจ้า​ 9 ​องค์​ใน​เบื้องลึก​ ​คือ​ ​พระพุทธเจ้า​ 7 ​พระองค์​ ​กับ​ ​พระ​โพธิสัตว์อีก
2 ​พระองค์​ ​รวม​เป็น​ 9 ​พระองค์​ ​แบ่งภาคมา​เป็น​เทพเจ้า​ 9 ​องค์​ ​ทรงเครื่องแบบกษัตริย์
จึง​เรียกท่านว่า​ ​เก้าอ๊วง​ ​หรือ​ ​กิ๊วอ๊วง​ ​แปลตรงตัวว่า​ 9 ​เทพเจ้า​ ​หรือ​จะ​เรียก​ให้​หรูขึ้นว่า​ ​นพราชา
ก็​ไม่​ผิดอะ​ไร​ ​เทพเจ้า​ทั้ง​ 9 ​นี้​ ​ทรงอำ​นาจ​ใน​การบริหารธาตุ​ทั้ง​ห้า​ ​ใน​ความ​เชื่อของคนจีน​ ​คือ
ธาตุดิน​ ​ธาตุน้ำ​ ​ธาตุลม​ ​ธาตุ​ไฟ​ ​และ​ธาตุทอง​ (ตรงนี้ตำ​รา​ใช้​ธาตุลมแทนธาตุ​ไม้)

เพราะ​คนเรา​นั้น​ ​ถ้า​ไม่​มีลมอากาศ​ ​ก็ตายแน่นอน
สัตว์​ทั้ง​หลาย​ ​ถ้า​ไม่​มีน้ำ​เป็น​ที่อาศัย​ ​ก็​อยู่​ไม่​ได้
ต้นไม้​ทั้ง​มวล​ ​ถ้า​หมดดิน​ ​ย่อมอับเฉา​เหี่ยวตาย
สัตว์​โลก​ทั้ง​ปวง​ ​ถ้า​ไม่​มี​ไฟ​ ​ก็​ไม่​มีชีวิต​อยู่​ได้​เช่น​กัน
อีก​ทั้ง​เศรษฐกิจการค้า​ ​ถ้า​ไม่​มีทองที่​ใช้​เป็น​เบื้องหลัง​ ​ค่าของเงินตรา​ ​ไม่​มี​โลหะนานา
ให้​นำ​มา​ใช้​ผลิตเครื่อง​ใช้​ต่าง​ ​ๆ​ ​ระบบการค้า​จะ​ดำ​เนินไป​ไม่​ได้​เลย

จาก​นั้น​ 9 ​เทพเจ้า​ ​ก็​ได้​แบ่งภาคพระองค์​เองอีกที​ ​ไป​เป็น​ดาวพระ​เคราะห์​ 9 ​ดวง
เพื่อการบริหารธาตุ​ทั้ง​ห้า​ ​ที่​ไม่​เพียง​เป็น​สิ่งจำ​เป็น​ใน​การดำ​รงของสิ่งมีชีวิตต่าง​ ​ๆ​ ​แต่​ใน​ทาง
โหราศาสตร์จีน​ ​ธาตุ​ทั้ง​ห้าก็​เป็น​องค์ประกอบสำ​คัญของจักรราศี​แห่งดวงชะตา
ดาวพระ​เคราะห์​ทั้ง​ 9 ​ดวงนี้คือ
1. ​ดาวพระอาทิตย์​ ​จีนแต้จิ๋วเรียกว่า​ ​ไท้​เอี๊ยงแช​ (แช​ ​แปลว่า​ ​ดวงดาว)
2. ​ดาวพระจันทร์​ ​หรือ​ ​ไท้อิมแช
3. ​ดาวพระอังคาร​ ​หรือ​ ​ฮ่วยแช
4. ​ดาวพระพุธ​ ​หรือ​ ​จุ้ยแช
5. ​ดาวพระพฤหัสบดี​ ​หรือ​ ​บั๊กแช
6. ​ดาวพระศุกร์​ ​หรือ​ ​กิมแช
7. ​ดาวพระ​เสาร์​ ​หรือ​ ​โท้วแช
8. ​ดาวพระราหู​ ​หรือ​ ​ล้อเกา​แช
9. ​ดาวพระ​เกตุ​ ​หรือ​ ​โกยโต้วแช

ดาวนพเคราะห์​เหล่านี้​ ​คือ​ ​กำ​เนิดหนึ่งแห่งจักรราศี​ใน​ทางโหราศาสตร์จีน​ ​เช่นเดียว​กับ
ที่การหมุน​หรือ​เคลื่อนตัวของแต่ละดวงดาว​จะ​มีผลต่อโลก​ ​เช่น​ ​การเกิดน้ำ​ขึ้นน้ำ​ลง​ ​ดังที่​เรา
เคยเรียน​ใน​สมัยเด็ก​ ​ๆ​ ​หากวัน​ใด​ดาวเคราะห์ดวง​ใด​หยุดหมุน​ ​หรือ​เทพเจ้าประจำ​ดวงดาวหยุด
ทำ​งาน​ ​โลกคงเกิดโลกาวินาศ
โดย​ทุกปี​เมื่อ​ถึง​วันที่​ 1 – 9 ​เดือน​ 9 ​ของจีน​ ​จะ​เป็น​กำ​หนดวันที่​เทพเจ้าประจำ​ดาวข
นพเคราะห์​แต่ละองค์​จะ​ผลัด​กัน​ลงมา​เยือนโลกมนุษย์​ ​เพื่อประทานพรแด่​ผู้​ประพฤติดี
โดย​จะ​ผลัด​กัน​องค์ละวัน​ ​แต่​ใน​ทางปฏิบัติที่​ผู้​เขียนเห็นคือ​ ​เรานิยมไหว้รวม​ทั้ง​ 9 ​องค์ทุกวัน
เมื่อ​ถึง​เทศกาลนี้​จึง​มีการกราบไหว้​และ​ถือศีลกินเจ​ ​เพื่อ​เป็น​เครื่องสักการะบูชา
เพื่อขอพร​จาก​ท่าน​โดย​ผู้​เฒ่า​ผู้​แก่มักเชื่อว่า​ ​การที่ท่านเสด็จมา​อยู่​ใกล้​ ​ๆ​ ​อย่างนี้​จะ​ศักดิ์สิทธิ์
และ​จะ​เป็น​การขอบคุณที่ทรงมีคุณแก่​โลกที่ทรง​ไว้​ซึ่ง​ธาตุ​ทั้ง​ห้า​และ​จักรราศี​แห่งดวงดาว

+ + + ​การกินเจเพื่ออุทิศ​ส่วน​กุศลถวายแด่ฮ่องเต้น้อย​ + + +

ตำ​นานนี้​เล่า​ถึง​ว่า​ ​ช่วงปลายราชวงศ์ซ่ง​ ​ประมาณ​ ​พ​.​ศ​. 1819 ​กุบไลข่าน​ได้​ยกกองทัพ
มองโกล​เข้า​ตี​เมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง​ใต้​ ​แล้ว​จับตัวฮ่องเต้​ ​ซึ่ง​ยัง​ทรงพระ​เยาว์มากไป​ถึง
ปักกิ่ง​ ​ส่วน​พระอนุชาฮ่องเต้หนี​ไป​ได้​ ​โดย​ทางราชวงศ์ซ่ง​ได้​รวบรวมข้อมูล​ผู้​คนตั้งหลัก
บนเกาะ​เล็ก​ ​ๆ​ ​นอกฝั่งมณฑลกวางตุ้ง​ ​และ​ได้​แต่งตั้งพระอนุชาที่พระชนม์มายุ​เพียง
8 ​พรรษา​ ​เป็น​ฮ่องเต้ทรงพระนามว่า​ ​ซ่งตวงจง​ ​ฮ่องเต้​ ​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​. 1822
แล้ว​ทัพของมองโกลก็ยกตามมาตี​ ​ก็หนี​กัน​ไป​ถึง​ฝั่งเกาลูน​ ​อยู่​ได้​ไม่​นานทัพมองโกล
ก็ตามมาตีต่อ​ ​ราชวงศ์ซ่งสู้​ไม่​ได้​ ​หัวหน้าขุนนางอุ้มฮ่องเต้น้อย​ไว้​บ่นบ่า​ ​อีกมือถือดาบพร้อมสู้
ที่สุดไปจนมุรบนหน้าผา​ ​ขุนนางตัดสินใจโดดหน้าผาหนีการถูกฆ่า​โดย​ศัตรูสิ้นชีวิต​ทั้ง​คู่​ ​คือ
ขุนนาง​ ​และ​ ​ฮ่องเต้
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้​ ​ทำ​ให้​เกิดเทพเจ้าที่คนจีนพา​กัน​บูชาหลายองค์​ ​องค์หนึ่ง​ ​คือ
ฮ่องเต้น้อย​ ​ชาวประมงค์พื้นบ้าน​ ​และ​ชาวเรือนนับถือไหว้ท่านว่า​เจ้า​เด็กท้ำ​กง​ ​ส่วน​ขุนนาง
ผู้​จงรักภักดีมี​ 3 ​ท่าน​ ​คนจีนยกย่องกราบไหว้​เป็น​ซาตงกง​ ​แปลตรงตัวว่า​ 3 ​เจ้าพระยา​ผู้​ภักดี
ด้วย​ความ​เชื่อว่า​ ​การไหว้คนที่​เสียชีวิต​ ​เพราะ​คุณ​ความ​ดี​ ​จะ​มีสิริมงคลแก่​ผู้​กราบไหว้​นั้น​แล
ครั้ง​ถึง​เดือน​ 9 ​ชาวฮกเกี้ยน​ ​และ​ ​ชาวแต้จิ๋ว​ ​ซึ่ง​เป็น​คน​ใน​ท้องที่​ซึ่ง​ช่วย​ราชวงศ์ซ่ง
สู้รบมองโกล​ ​บางตำ​รา​เชื่อว่า​ ​พอ​ถึง​เดือน​ 9 ​ก็พา​กัน​กินเจเพื่ออุทิศ​ส่วน​กุศลถวายฮ่องเต้น้อย
ซึ่ง​สิ้นพระชนมายุ​เพียง​ 9 ​พรรษา

+ + + ​การกินเจของชาววิทยายุทธ์​ + + +

หลายท่านอาจสงสัย​ ​ทำ​ไมประ​เพณีกินเจของบางท้องที่​จึง​มีรายการน่าหวาดเสียว
เช่น​ ​เดินลุยไฟ​ ​มีการ​ใช้​เหล็กแหลมแทงทะลุ​แก้ม​ ​ลิ้น​ ​ตรงนี้น่า​จะ​เป็น​ความ​เชื่อ​จาก​คนจีน​-
โบราณบางกลุ่ม​ ​โดย​เฉพาะ​ผู้​มีวิชาต่อสู้ที่​เรียก​กัน​ว่า​ ​จอมยุทธ์​ ​หรือ​ ​ชาววิทยายุทธ์​ ​ซึ่ง​ก็มี
มากมายหลายแบบของการต่อสู้​ ​เป็น​พวกที่​เก่งหมัดมวย​ ​พวกที่​เก่งเพลงดาบ
พวกหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก​ ​คือ​ ​พวกหงี่หั่วท้วง​ ​ซึ่ง​หนังสือประวัติศาสตร์จีนบางเล่ม
เรียกว่า​ ​นิกายกินเจ​ ​และ​สันนิษฐานว่า​เป็น​สาขาของสมาคมลับบัวขาว​ ​หรือ​ลัทธิบัวขาว
เรียกว่า​ ​แป๊ะ​เน้ยก่า​ ​ซึ่ง​ดั้งเดิม​จะ​มีบทบาทสูง​ใน​การต่อต้านการปกครองของแมนจู
แต่ต่อมาสมัยที่ฝรั่ง​เข้า​มา​แสวงหาผลประ​โยชน์​ใน​จีนมากมาย​ ​พวกหงี่หั่วท้วงที่รักชาติรุนแรง
ก็​จะ​ต่อต้าน​ ​และ​สังหารฝรั่งเสมอ​ ​จึง​ถูกพระนางซูสี​ไทเฮา​ ​ส่งคนไปชักชวน​ให้​ตอบโต้
ชาวตะวันตกอย่างรุนแรง​ ​จึง​ถูกกองทัพฝรั่ง​ 8 ​ชาติปราบรุนแรง​ ​โดย​หนังสือประวัติศาสตร์
บางเล่ม​จะ​มี​เอ่ย​ถึง​ว่า​ ​ราชสำ​นักแมนจูก็ร่วมผสมโรงปราบพวกหงี่หั่วท้วง​ด้วย
พวกหงี่หั่วท้วงที่มักมีการกินเจ​ ​เพื่อ​เข้า​พิธี​ให้​อยู่​ยงคงกระพัน​และ​เหนียว​ ​จนมี
ชื่อเสียง​ใน​ทางคงกระพันชาตรี​ ​มา​เจอปืนฝรั่ง​เข้า​ก็ตายสนิท​ ​เป็น​การแพ้ที่ลูกหลานจีน
บางท้องที่รู้สึกสำ​นึก​ใน​การต่อสู้​เพื่อชาติบ้านเมือง​ ​ก็กินเจระลึก​ให้
อย่างไรก็ตาม​ ​สำ​หรับการกินเจทาง​ใต้​ ​เช่น​ ​ที่ศาลเจ้า​แม่ลิ้มกอเหนี่ยว​ ​เจ้า​แม่​จะ​มี
ประวัติ​เป็น​สตรีที่มีวิทยายุทธ์​และ​ผู้​เขียนเคยคุย​กับ​ชายฉกรรจ์ที่​เป็น​ลูกศิษย์​เจ้า​แม่ว่า
ทุกปี​จะ​กินเจเพื่อลุยไฟ​ให้​เป็น​สิริมงคลแก่ตน​ ​ซึ่ง​เป็น​ความ​เชื่อของคนกลุ่ม​เล็ก​ ​ๆ​ ​ที่​ต้อง​ถือว่า
มีจริง​ใน​สังคม

+ + + ​ตำ​นานการกินเจของคนจีนแต้จิ๋วโบราณ​ ​จาก​ท้องที่ซัวเถา​ + + +

เรื่องนี้อาจ​เป็น​เกร็ด​ความ​รู้​ใหม่​ของลูกหลานจีน​ใน​ไทย​ ​เพราะ​เนื้อหาที่​ผู้​เขียนพบ
ยัง​ไม่​เคยอ่านพบ​จาก​ที่​ไหน​ ​โดย​ผู้​เขียนอ่าน​จาก​ตำ​ราภาษาจีนที่พึ่ง​ได้​มา​ไม่​นาน
ชื่อหนังสือว่า​ ​เตี้ยซัวมิ้งซกไต้กวง​ ​แปลง่าย​ ​ๆ​ ​อย่าง​สามารถ​เข้า​ใจ​ได้​ด้วย​ ​คือ​ ​ธรรมเนียม
แต้จิ๋วซัวเถา​ (เตี้ย​ ​เป็น​คำ​จีนที่คนไทย​จะ​คุ้น​แล้ว​กับ​นามแต้จิ๋ว​ ​เช่นเดียว​กับ​คำ​ว่า​ ​ซัวนี้​ ​คือ
ซัวเถา)
หนังสือเล่มนี้รวบรวมธรรมเนียบโบราณของชาวจีนแต้จิ๋วกว่า​ 300 ​ธรรมเนียม
โดย​ธรรมเนียมที่ชื่อว่า​ ​เจี๊ยะ​เก้าอ๊วงเจ​ ​แปลตรงตัวคือ​ ​กินเจเจ้า​ 9 ​องค์​ ​เนื้อหาที่​เขียนอาจ
สรุป​ได้​ดังนี้
การกินเจเดือน​ 9 ​ของจีน​ ​ปรับมา​จาก​การที่คณะงิ้วแต้จิ๋วโบราณ​ ​ไหว้บวงสรวงเจ้า
ด้วย​การกินเจเจ้า​ 9 ​พระองค์
โดย​ทุกปี​เมื่อ​ถึง​วันขึ้นเดือน​ 9 ​ของจีน​ ​ชาวคณะงิ้วพร้อมเด็กฝึกงิ้วรุ่น​ใหม่​จำ​นวนมาก
พา​กัน​นุ่งขาว​ ​งดกินเนื้อสัตว์​ ​ผักกลิ่นฉุน​ ​แต่​จะ​มีการกินเนื้อหอยตัว​เล็ก​ตัวน้อย​ (ภาษาจีน
ใน​ตำ​รา​ใช้​คำ​ว่า​ ​เจี๊ยะป๋วย​ ​ซึ่ง​ ​ป๋วยคำ​นี้​ ​จีนกลางออกเสียงว่า​ ​เป้ย​ ​เป็น​หอยตัว​เล็ก​ ​ๆ)
ทำ​ใจ​ให้​สะอาด​ ​ไม่​พูดคำ​หยาบ​ ​ไม่​ว่าร้ายริษยาอาฆาตใคร​ ​แล้ว​ไปกราบไหว้บูชาพร้อม
ขอขมา​ ​ถ้า​มีการล่วงเกินเจ้า​โดย​ไปไหว้ที่ศาลเจ้าที่มีองค์ปฏิมาของเทพเจ้า​ 9 ​องค์
ชาวเมืองแต้จิ๋วที่มีบ้าน​ใกล้​กับ​ศาลเทพเจ้างิ้วไล้ฮึงกง​ ​ก็​จะ​พา​กัน​จัดของไหว้​ไปไหว้
รวม​ทั้ง​ไหว้​เทพเจ้า​ 9 ​องค์​ ​กับ​เทพเจ้า​เต๋าบ้อ​ (เต๋า​เล่า​เทียงจุง) ​โดย​เป็น​การไหว้ครั้ง​ใหญ่
มี​เครื่อง​ใช้​ของบูชาพิ​เศษ​เป็น​ภาชนะ​ใส่​ข้าวสารปักไม้ยาว​ 9 ​อัน​ ​เหนือไม้​ทั้ง​เก้ามีตาข่าย
และ​ห่วงหยก​ 9 ​อัน​ ​แขวน​ไว้​ด้วย​โคมไฟน้ำ​มันจุดสว่างตลอดเวลา​ทั้ง​กลางวันกลางคืน
เผาธูปหอมตลอดเวลา​ ​บูชา​ด้วย​ดอกไม้​ ​ผลไม้​ ​มี​แสดงงิ้วถวาย​เป็น​ที่ครึกครื้นที่หน้า​แทนบูชา
เทพเจ้างิ้วไล้ฮึงกง
มีคำ​เรียกพิธีบูชา​โบราณนี้ว่า​ ​เก้าอ๊วงหวย​ ​หรือ​ ​ชุมนุม​ 9 ​เทพเจ้า
ต่อมาสมัยราชวงศ์​เช็ง​ ​มี​ความ​นิยมกินผักมากขึ้นหลัง​จาก​งานฉลองเมืองหลวง
เมื่อ​ถึง​สิ้นเดือน​ 8 ​ของจีน​ ​ก็​เริ่มถือศีลกินเจ​ ​จน​ถึง​วันที่​ 9 ​เดือน​ 9 ​ของจีน​ ​ตามศาลเจ้าต่าง​ ๆ
มีการตั้งเครื่องบูชา​ไหว้​เต๋าบ้อ​ ​และ​เทพเจ้า​ 9 ​องค์​ ​พร้อมมีมหรสพแสดงงิ้วถวาย​ ​จุดประทีป
โคมไฟสวยงาม​ ​ด้วย​ความ​เชื่อว่า​ ​ไหว้​เต๋าบ้อ​ ​เพื่อ​ให้​อายุยืนยา​ ​ไหว้​เทพเจ้า​ 9 ​องค์​ ​เพื่อ​ให้​โชคดี

+ + + ​การกินเจเพื่อชำ​ระ​ใจก่อน​เข้า​พิธีศักดิ์สิทธิ์​ + + +

นอก​จาก​กินเจของชาววิทยายุทธ์ก่อน​เข้า​พิธี​ ​เพื่อ​ให้​อยู่​ยงคงกระพัน​แล้ว​ ​ยัง​มีบุคคล
อีก​ 2 ​ประ​เภท​ ​ที่นิยมกินเจก่อนทำ​พิธีศักดิ์สิทธิ์
หนึ่ง​นั้น​คือ​ ​ฮ่องเต้​ ​ที่​จาก​บันทึกของพระราชวังปักกิ่ง​จะ​มี​เล่า​ถึง​ ​การที่ฮ่องเต้​ต้อง​เสด็จ
ไปถือศีลกินเจที่วัด​ 1 ​วัน​ ​ก่อนวันไหว้​เหมายัน​ ​ซึ่ง​เป็น​วันหนึ่งที่พระอาทิตย์​โคจรห่างโลกมาก
ที่สุด​ ​ทำ​ให้​เป็น​วันที่ยาวที่สุด​ ​จะ​ตกประมาณวันที่​ 21 – 23 ​ธันวาคม​ ​ฮ่องเต้​จะ​ทำ​พิธี​ไหว้
“​เจ้าสวรรค์​” ​ใน​ฐานะที่ทรง​เป็น​โอรสสวรรค์
ส่วน​บุคคลอีกประ​เภท​ ​คือ​ ​ซินแส​ ​หรือ​ผู้​ใหญ่​ที่​จะ​ทำ​พิธี​เขียนฮู้​ ​หรือ​ ​ยันต์มงคล​ ​นิยม
กินเจชำ​ระกาย​ให้​ผ่องแผ้วก่อนเขียนยันต์​ใด​ ๆ

+ + + ​การกินเจเพื่อสุขภาพ​ + + +

การกินเจ​ใน​แง่มุมของสุขภาพ​ ​เพื่อ​ให้​ร่างกายแข็งแรง​ ​โดย​อาศัยหลักธรรม​ 2 ​ประการ
คือ​ 1. ​กินอย่างไร​ไม่​เป็น​โทษทุกข์ต่อ​ผู้​อื่น​ 2. ​กินอย่างไร​ไม่​เป็น​โทษทุกข์ต่อตัวเอง
ซึ่ง​กินอย่าง​ไม่​เป็น​โทษทุกข์​หรือ​เป็น​ภัยต่อ​ผู้​อื่น​คง​ไม่​ต้อง​อธิบาย​ ​แต่การกินอย่าง
ไม่​เป็น​โทษทุกข์​หรือ​เป็น​ภัยต่อตัวเอง​ ​คือ​ ​การกินอาหารที่​ไม่​ไปทำ​ลายสุขภาพร่างกายของตน
ล​โดย​บางวิทยาการของจีนโบราณ​ ​มี​ความ​เชื่อว่า​ ​เลือด​ ​และ​เนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย
มีพิษร้ายแฝง​อยู่​ ​เพราะ​ก่อนสัตว์ถูกฆ่า​ ​ความ​กลัวทำ​ให้​มันหลั่งสารพิษที่​แพร่กระจายไป​ทั่ว
ร่างกาย​ ​ซึ่ง​ความ​เชื่อนี้สอดคล้อง​กับ​ศาสนาอิสลามที่​ไม่​กินหมู
โดย​ที่การกินเจ​จะ​ไม่​กินผักที่มีกลิ่นฉุน​ ​อัน​ได้​แก่​ ​กระ​เทียม​ ​หัวหอม​ ​กุยช่าย​ ​หลักเกียว
(คล้ายกระ​เทียมแต่​เล็ก​กว่า) ​และ​ใบยาสูบ​ ​เพราะ​ผักเหล่านี้มีรสหนัก​ ​กลิ่นรุนแรง​ ​คนจีนเชื่อว่า
มีสารที่ทำ​ลายพลังธาตุ​ทั้ง​ห้า​ใน​ร่างกาย​ ​อันอาจทำ​ให้​อวัยวะหลักสำ​คัญภาย​ใน​ทั้ง​ห้าทำ​งาน
ไม่​เป็น​ปกติ​ ​ดังนี้
กระ​เทียม​ – ​ทำ​ลายธาตุ​ไฟ​ใน​ร่างกาย​ ​ทำ​ให้​หัวใจทำ​งาน​ไม่​เป็น​ปรกติ
หัวหอม​ – ​ทำ​ลายธาตุน้ำ​ใน​ร่างกาย​ ​ทำ​ให้​ไตทำ​งาน​ไม่​เป็น​ปรกติ
กุยช่าย​ – ​ทำ​ลายธาตุ​ไม้​ใน​ร่างกาย​ ​ทำ​ให้​ตับทำ​งาน​ไม่​เป็น​ปรกติ
หลักเกียว​ – ​ทำ​ลายธาตุดิน​ใน​ร่างกาย​ ​ทำ​ให้​ม้ามทำ​งาน​ไม่​เป็น​ปรกติ
ใบยาสูบ​ – ​ทำ​ลายธาตุ​โลหะ​ใน​ร่างกาย​ ​ทำ​ให้​ปอดทำ​งาน​ไม่​เป็น​ปรกติ
ใน​บรรดาผักฉุนนี้​ ​กระ​เทียมถือว่า​เป็น​ยา​ ​เมื่อป่วย​และ​ร่างกาย​ต้อง​การก็กิน​ได้
และ​นี่คือ​ ​ที่มา​แห่ง​ความ​แตกต่างระหว่างเจ​กับ​มังสวิรัติว่า​ ​มังสวิรัติ​นั้น​ไม่​กินเนื้อสัตว์
แต่กินไข่​กับ​ผักทุกชนิด​ได้
ส่วน​การกินเจ​นั้น​ ​ไม่​กินเนื้อสัตว์​ใด​ ​ๆ​ ​ไม่​กินไข่​ ​และ​ไม่​กินผักกลิ่นฉุน​ 5 ​ชนิดข้างต้น
และ​ต้อง​ถือศีล​ด้วย​ ​จึง​จะ​ครบถ้วนบริบูรณ์

+ + + ​การกินเจ​ด้วย​หลักศีล​ 6 + + +

คนไทย​ส่วน​ใหญ่​จะ​คุ้นเคย​กับ​คำ ​ว่า​ ​ศีล​ 5 ​และ​ ​ศีล​ 8 ​แต่คนจีนโบราณ​จะ​มีอีกศีลที่น่าสนใจเรียกว่า​ ​ศีล​ 6 ​คำ​จีนเรียกว่า​ ​ลักกึงเช็งเจ๋ง​ ​แปลว่า​ ​ทวาร​ทั้ง​ 6 ​บริสุทธิ์​ ​หมาย​ความ​ถึง
การถือศีลกินเจที่สงบจิตสงบใจ​ ​ไม่​บริ​โภครสกิ​เลสทางทวาร​ทั้ง​ 6 ​อัน​ได้​แก่​ ​จักษุ​ ​โสต​ ​ฆาน
ชิวหา​ ​กาย​ ​และ​ใจ
คนกินเจที่​เคร่ง​ถึง​ระดับทวาร​ทั้ง​หกบริสุทธิ์​ ​จึง​นุ่งขาวห่มขาว​ ​ฟังแต่​เสียงธรรม
ไม่​ทานอาหารกลิ่นจัด​ ​คือ​ ​ผักกลิ่นฉุน​ ​ไม่​ร่วมรสกาม​ ​และ​มี​ใจใฝ่ธรรม​ ​หรือ​แจกแจง​ให้
อ่านชัด​ ​ๆ​ ​คือ

ไม่​บริ​โภคกิ​เลสทางตา​ ​คนกินเจ​จึง​นุ่งชุดขาว
ไม่​บริ​โภคกิ​เลสทางหู​ ​คนกินเจ​จึง​ฟังแต่ภาษาธรรม​ ​และ​เสียงสวดมนต์
ไม่​บริ​โภคกิ​เลสทางจมูก​ ​คนกินเจ​จึง​ไม่​กินอาหารที่​เป็น​ผักกลิ่นฉุน​และ​งดเครื่องหอม
ไม่​บริ​โภคกิ​เลสทางปาก​ ​คือ​ ​กินแต่อาหารรสชาติสะอาด​ ​จืด​ ๆ
ไม่​ใช่​เผ็ดจี๊ดเปรี้ยวจัด​ ​อย่างส้มตำ​ ​ยำ​เจแบบไทย​ ๆ
ไม่​บริ​โภคกิ​เลสทางกาย​ ​คือ​ ​การงดเพศสัมพันธ์
ไม่​บริ​โภคกิลเลสทางใจ​ ​คือ​ ​ไม่​คิดมิชอบ​ ​แต่​ใจ​ต้อง​ใฝ่ธรรม

จาก​หนังสือ​ ​คู่มือกินเจอย่างรู้คุณค่า​ ​โดย​ ​จิตรา​ ​ก่อนันทเกียรติ

ปล.

แต่สำหรับผมแล้วไม่ได้ถืออะไรมากครับ
ศาสนาพุทธไม่มีข้อห้ามในการกินเนื้อสัตว์ ขออย่าเป็นเหตุเจาะจงให้เขาฆ่ามาเพื่อเป็นอาหารก็แล้วกัน

ชอบกินเจเพราะถือเป็นสักช่วงเวลาที่เราไม่เบียดเบียนชีวิตคนอื่น
ไม่เป็นเหตุให้เขาฆ่า(แม้ไม่เจาะจง) สักช่วงเวลาหนึ่งๆ

แม้ไม่นานนักแต่ถ้ารวมเวลาประมาณ 20 ปีกว่า คูณ 10 วัน
ก็ได้เกือบๆปีเหมือนกันนะ 220 วันเชียว

ที่สำคัญ ถือเป็นช่วงเวลาล้างพิษครับ งดเนื้อ งดอาหารทานแต่ผลไม้สักสองสามวัน
แล้วค่อยๆ กลับมาทานอาหารปกติก็เข้าที่ครับ